systemic design, systems thinking, design thinking

มองปัญหารอบด้านด้วย Systemic Design

ที่ผ่านมาผู้คนตื่นตัวและให้ความสนใจกับการทำความเข้าใจและแก้ปัญหาผ่านกระบวนการออกแบบที่มีผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลาง Human-Centered design  กันมากขึ้น ทำให้ในปัจจุบันเราสามารถพบกับนวัตกรรมที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์มากมาย บางครั้งเราอาจพบว่าความใหม่และความสร้างสรรค์นั้นเป็นประโยชน์และแก้ปัญหาให้กับผู้ใช้งานก็จริง  ขณะเดียวกันก็สร้างผลกระทบทางลบและก่อให้เกิดปัญหาเชิงระบบกับคนอื่น ๆ ด้วย รวมไปถึงหลายปัญหาและความท้าทาย มีความซับซ้อนมากขึ้น เกี่ยวข้องกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก การมองเห็นภาพปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นให้ตรงกันเพื่อแก้ไขปัญหาเดียวกันนั้นเป็นจำเป็น

บทความนี้ ขอแนะนำแนวคิดสำคัญที่จะช่วยให้เราแก้ไขปัญหาได้อย่างเข้าใจผู้ใช้ และยังคงคิดรอบด้านอย่างเป็นระบบ มองสองมุมเพื่อแก้ปัญหาอย่างครอบคลุมและมีประสิทธิภาพด้วย Systemic Design ที่พัฒนาจากการรวมทฤษฎีด้านการคิดเชิงระบบ (Systems Thinking)  เข้ากับวิธีการเชิงปฏิบัติของการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ขยายขอบเขตของการค้นหาคำตอบสำหรับความท้าทายทางสังคมที่ซับซ้อน มีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจำนวนมาก   

Thomas Both และ Nadia Roumani ผู้อำนวยการ และ นักออกแบบทางสังคมที่ทำงานกับนักสร้างผลกระทบทางสังคมจาก d.School มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ได้อธิบายไว้ว่า การออกแบบโดยมีผู้ใช้เป็นศูนย์กลาง  (Human-centered design) ช่วยทำให้พบ “คำถามที่ใช่” เข้าใจ และ ออกแบบการแก้ไขได้ในระดับบุคคล (human-level) และมุมมองเชิงระบบ (System-minded)  จะช่วยเสริมมุมมองให้เห็นความเกี่ยวพันของปัญหาในบริบทของสังคม ทำให้เราสามารถเลือกจุดที่จะแก้ไข ”ในระบบ” ได้อย่างเหมาะสม และเกิดประสิทธิภาพในการแก้ไข ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ไม่ทิ้งผลกระทบทางลบไว้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใด

หลักการสำคัญของการออกแบบในระบบที่ซับซ้อน

1. สร้างพื้นที่ให้เกิดการมีส่วนร่วมและมุมมองที่หลากหลาย
Systemic Design เป็น Multi-Disciplinary เราจะไม่สามารถเข้าใจระบบที่ซับซ้อนได้เลย หากไม่มีประสบการณ์และมุมมองที่หลากหลายจากคนที่มีบทบาทสำคัญในระบบที่แตกต่างกัน แต่ละคนล้วนเป็นฟันเฟืองที่สำคัญที่จะไปขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงของระบบจากมุมของตนเองได้
2. มองมุมแคบสลับกว้างระหว่างคนและระบบ , รูปธรรมและนามธรรม ,  เชิงปริมาณและคุณภาพ 
การทำงานกับประเด็นที่มีความซับซ้อน เราจำเป็นจะต้องไปให้ไกลกว่าแค่พฤติกรรมและความต้องการของคน จำเป็นต้องมองภาพใหญ่ ภาพรวม เหตุและปัจจัย สภาพแวดล้อม สิ่งต่าง ๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย
3. แปลงความซับซ้อนให้ออกมาเป็นภาพ
การเข้าใจระบบ ให้เห็นภาพตรงกันมีความสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง การใช้เครื่องมือต่าง ๆ มาอธิบาย เขียนสิ่งที่เกิดขึ้นให้เป็นภาพ แผนผัง  ช่วยให้เราคลี่ความซับซ้อนออกมาทีละนิด ๆ แบ่งปันความเข้าใจที่มีร่วมกับกับคนอื่นที่เกี่ยวข้องเพื่อสื่อสารความเข้าใจร่วมกัน 
4. มองระยะยาว และผลกระทบที่เกิดขึ้น
การทำงานกับความซับซ้อน จำเป็นต้องมองไกลกว่าแค่สิ่งที่เราจะทำในระยะเวลาสั้น ๆ ว่าส่งผลถึงผู้ใช้งาน ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ อย่างไรบ้าง สภาพแวดล้อม และระบบได้รับผลกระทบอย่างไร เมื่อเวลาเปลี่ยนแปลงไป การคาดการณ์สิ่งที่อาจเกิดขึ้นล่วงหน้าเป็นเรื่องจำเป็น
5.เป็นนักเล่าเรื่องเชิงระบบ 
การทำงานกับระบบหลายครั้งมีข้อมูลท่วมท้นเยอะมากมาย การฝึกเล่าเรื่องราว ข้อมูลเชิงลึก ภาพและการเชื่อมโยง sense-making ต่าง ๆ ที่เราสร้างขึ้นมา เหมือนเป็นการซ้อมให้เราสามารถบรรยาย อธิบายเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น เมื่อคนอื่นสามารถเข้าอกเข้าใจในเรื่องนี้ได้มากขึ้น มีเข้าใจที่ตรงกัน จะสามารถสร้างการมีส่วนร่วมได้ในระยะยาว
6. อย่ายึดติด เปิดรับความเป็นไปได้ใหม่ๆ ที่พร้อมจะเกิดขึ้นเสมอ

ไม่มีวิธีการใด วิธีการเดียวที่ถูกต้องเสมอในการแก้ไขปัญหาเชิงระบบที่ซับซ้อน เราควรพร้อมเปิดรับสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นต่อภาพรวมที่เป็นผลดี สร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกต่อระบบในระยะยาว Intervention ใด ๆ ก็ตามที่ทำ ควรจะ sensitive ต่อระบบ ไม่ควรต้านทาน ต่อสู่กับระบบเดิม แต่ต่อยอดพลวัตรจากระบบเดิมที่มีอยู่แล้ว
7. ตระหนักถึงสมมติฐานและโลกทัศน์ของตนเอง หมั่นตั้งคำถามเพื่อพิสูจน์อยู่เสมอ
ถ้าเราอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบจริง การตระหนักรู้ในโลกทัศน์และสมมติฐานที่นำไปสู่การกระทำของเราสำคัญมาก การกระทำของเราส่งผลกระทบต่อสังคม สิ่งแวดล้อม ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใดบ้าง ความเข้าใจที่มีต่อระบบของเราไม่มีทางที่จะสมบูรณ์แบบไปได้ หมั่นทบทวนสะท้อนตนเองบ่อย ๆ ท้าทายสมมติฐาน และจุดยืนของตนเอง คงไว้ซึ่งความสงสัย อยากรู้อยากเห็น และตั้งคำถามกับสิ่งที่ตัวเองทำเสมอๆ เปิดใจฟังสิ่งที่เกิดขึ้นในระบบ 

4 คำถามนำสำคัญเพื่อช่วยให้เกิดการคิดสลับกันไปมาระหว่างนามธรรมและรูปธรรม , เชิงปริมาณและคุณภาพ 

What do we notice?

  • เราสังเกตเห็นอะไรได้จากข้อมูลบ้าง?
  • ขั้นตอนนี้คือการเก็บข้อมูลและเรื่องเล่าจากการสัมภาษณ์ (interview) สังเกต (observe) การเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ (immerse) นั้นจริง ๆ 

What’s the meaning?

  • มันมีความหมายว่าอย่างไร?
  • นำข้อมูล เรื่องเล่า และข้อสังเกตที่ได้มาเรียบเรียงปะติดปะต่อ ถอดบทเรียน ตีความและทำความเข้าใจให้ทะลุลึกไปถึงมุมมอง คุณค่า และประสบการณ์ที่อยู่เบื้องหลังว่าผู้คนเหล่านั้นมอง คิด รู้สึกอย่างไร

What’s our direction?

  • ทิศทางที่เราจะมุ่งไปเป็นอะไรได้บ้าง?

What’s our solution?

  • ทางแก้ปัญหาที่เราจะนำไปทดสอบจะเป็นอย่างไร?

ตัวอย่างเครื่องมือในการคิดเชิงระบบสำหรับนักออกแบบการเปลี่ยนแปลง

  1. ในขั้นตอนรวบรวมข้อมูล (Data) ให้ระบุผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในปัญหานั้น (Stakeholders) และ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนั้นในระบบ ใช้เครื่องมือเช่น Stakeholder Mapping 
  2. เชื่อมสาเหตุและผลกระทบในระบบเพื่อทำความเข้าใจในเชิงลึก (Insight) เกี่ยวกับปัจจัยใดที่สนับสนุนทำให้ผลลัพธ์ที่ต้องการเกิดขึ้นได้ และปัจจัยยับยั้งที่ห้ามไว้ไม่ให้สิ่งที่ต้องการเกิด ใช้เครื่องมือ เช่น Causal Loop Diagram , Behavior-over-time graph , Stock and flow , iceberg model 
  3. สำรวจจุดคานงัด (Points of Leverage) ในระบบที่จะช่วยให้สิ่งที่ต้องการดำเนินการเกิดประสิทธิภาพมากที่สุด ขยายผลลัพธ์ไปได้กว้างที่สุดว่าทำอย่างไรและทำที่จุดใดในระบบ
  4. ออกแบบเพื่อทดลองวิธีการแก้ไขที่คิดขึ้น เพื่อทดสอบว่าเกิดผลลัพธ์ที่ต้องการเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ และหากสำเร็จเป็นไปได้ไหมที่จะผนวกให้คงไว้ในระบบของปัญหานั้นเพื่อการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน 

8 คำถามที่เป็นแนวทางสำหรับการมอง “คน” และ “ระบบ” ไปพร้อมกัน 

รวบรวมข้อมูล (Data)

  1. ประสบการณ์ของผู้คนกับปัญหานั้นเป็นอย่างไร
  2. ใครคือผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหานี้บ้าง และมีความสัมพันธ์ระหว่างกันอย่างไร

ทำความเข้าใจเชิงลึก (Insights)

  1. อะไรคือแรงจูงใจ ความเชื่อ และพฤติกรรมของผู้คนในบริบทปัญหานี้
  2. ความสัมพันธ์เชิงโครงสร้างและแรงสนับสนุน-ต้าน ผลลัพธ์ที่ต้องการให้เกิดคืออะไร

ค้นหาและสร้างความเป็นไปได้และเป้าหมายที่จะจัดการ (Opportunities)

  1. เราสามารถทำอะไรเพื่อคนกลุ่มเป้าหมายนี้ได้บ้าง
  2. จุดใดในระบบ และใครที่เราสามารถเสริมพลังและใช้เป็นจุดคานงัดเพื่อแก้ไขปัญหานี้

วิธีการแก้ไขปัญหา (Solutions)

  1. ต้นแบบในการจัดการกับปัญหาที่ต้องการแก้ไขนี้จะออกมาเป็นอย่างไร?
  2. เราสามารถดำเนินการให้บรรลุผลได้อย่างไร หรือ จะสามารถผนวกเข้าไปให้ใครหรือหน่วยงานใดในระบบดำเนินการได้หรือไม่?

การค้นเจอปัญหาด้วยมุมมองแบบหนึ่งอาจถูกแก้ไขหรือทำความเข้าใจได้ด้วยมุมมองอีกแบบหนึ่ง การมองหาด้วยสายตาอีกแบบหนึ่งทำให้ได้มองเห็นสิ่งที่เคยมองข้ามไปด้วยการมองเพียงมุมเดียว เมื่อเข้าใจบริบทความสัมพันธ์และเห็นผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องได้ครบถ้วน ก็จะทำให้เราพบความเป็นไปได้ใหม่ ๆ สามารถออกแบบวิธีการแก้ไขปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพตรงจุด และยิ่งทดลองทดสอบใช้ในระบบยิ่งค้นพบความเข้าใจเพื่อนำไปปรับแก้ไข และจะทำให้การเปลี่ยนแปลงที่คาดหวังไว้เกิดผลลัพธ์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีความยั่งยืน การเป็นผู้ที่เข้าใจปัญหาและโครงสร้างปัญหาอย่างรอบด้านเป็นคุณสมบัติสำคัญของนักสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จ

การผสานสองมุมมองเข้าด้วยกันเพื่อเข้าใจและแก้ไขปัญหาที่ซับซ้อน
มุมมองแบบผู้ใช้เป็นศูนย์กลางและการมองเชิงระบบต่างเป็นเครื่องมือและสายตาที่ใช้มองปัญหาที่ต่างเติมเต็มกันและกัน การมองมุมมองแบบผู้ใช้เป็นศูนย์กลางทำให้เราเข้าใจปัญหาและผู้คนที่อยู่ในปัญหาว่าเกิดจากความเชื่อ ความต้องการ และมีแรงจูงใจอย่างไร ในขณะเดียวกันการคิดเชิงระบบก็ช่วยเชื่อมโยงคนที่หลากหลายมีความเชื่อ ความต้องการ และแรงจูงใจที่ต่างกันเข้าด้วยกัน ทำให้มองเห็นความสัมพันธ์ ค้นพบผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่อาจตกหล่นไป ทำให้เข้าใจปัจจัยสนับสนุนและขัดขวางทั้งทางบวกและลบในระบบ นำไปสู่การพัฒนาแก้ไขได้ทั้งระดับบุคคลและระดับสังคม

ติดตามบทความเกี่ยวกับ ​Systemic Design ตอนต่อ ๆ ไปได้ที่ www.insightsforchange.world

แหล่งอ้างอิงและศึกษาเพิ่มเติม 

Co-writer by