Insights โรงเรียนปล่อยแสง

Insights : นิเวศการเรียนรู้ในโรงเรียน

ถอดบทเรียนข้อมูลเชิงลึกจากการทำงานโครงการพัฒนานิเวศการเรียนรู้ ร่วมกันระหว่างทีมงาน Insights for Change และ โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการโรงเรียนปล่อยแสงปีที่ 3 ซึ่งเป็นโครงการที่คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้รับการสนับสนุนโดยกลุ่มธุรกิจ TCP มีวัตถุประสงค์ เพื่อ หนุนเสริมศักยภาพครูให้สามารถสร้างต้นแบบนวัตกรรมพัฒนานิเวศการเรียนรู้ในโรงเรียนของตนเอง เสมือนเป็นห้องทดลองขนาดย่อมที่เปิดโอกาสให้โรงเรียนและคุณครูร่วมกันลองลุกขึ้นมาสร้างการเปลี่ยนแปลงและเรียนรู้ร่วมกัน

โครงการดำเนินไปบนฐานของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงที่ว่า ถ้าเราอยากเห็นเปลี่ยนแปลงในระบบการศึกษา นิเวศการเรียนรู้เป็น 1 ใน 4 มิติ ที่จำเป็นต้องทำนอกเหนือจากการเปลี่ยนแปลงที่ ตัวครู ความสัมพันธ์ในโรงเรียน (ครู-ครู ครู-เด็ก ครู-ผู้ปกครอง ครู-ชุมชน) บทบาทผู้บริหาร โดย Reframe รูปแบบทางความคิดใหม่ (Mental Model) 5 ด้าน1 เพื่อให้ ครูเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง ดังนี้

1. ครู คือ มนุษย์ เหนื่อยได้ ท้อได้ พลาดได้ ไม่จำเป็นต้อง “ดีตลอดเวลา” สามารถเป็นตัวเองได้ มีความแตกต่างหลากหลาย มีสไตล์ของตัวเอง
Insights : ด้วยความเป็นครู จึงทำงานบนความคาดหวัง(จากตัวเองและผู้อื่น) ว่าจะต้องเป็นแม่พิมพ์ เป็นตัวอย่างที่ดีเสมอ มักมองหา ถูก-ผิด ส่งผลให้ไม่กล้าทำอะไรใหม่ ๆ ที่อาจจะผิดพลาด ล้มเพลว หรือแสดงความรู้สึก ความเปราะบาง เป็นตัวของตัวเองออกมาได้

2. คืนอำนาจให้ผู้เรียน คืนอำนาจให้กับเด็ก สร้างอำนาจร่วมระหว่างครูกับเด็ก เด็กเป็นเจ้าของการเรียนรู้ของตนเองได้
Insights : โครงสร้างอำนาจในโรงเรียน ซึ่งเป็นสถาบันที่มีความแข็งตัว มีลำดับชั้นและโครงสร้างอำนาจจากบนลงล่างมาอย่างยาวนาน ทั้งระบบภายในและภายนอก รวมถึงมุมมองจากผู้ปกครอง ชุมชน ที่มีความคาดหวัง ว่าโรงเรียน-ครู มีบทบาทหน้าที่สั่งสอน สร้างระเบียบวินัยให้กับผู้เรียน

3. คืนความเป็นนักเรียนให้กับครู : ครูไม่หยุดที่จะเรียนรู้ พัฒนาตัวเองได้เสมอ
Insights : ครูมักสวมบทบาทและถูกคาดหวังให้เป็นผู้สอน ผู้ให้ความรู้ ประกอบกับการอบรมครูหลายครั้งมักเป็นไปตามหน้าที่ คำสั่งจากหน่วยงาน ครูมักไม่มีสิทธิเลือกสิ่งที่สนใจเพื่อพัฒนาศักยภาพตนเองตามความสนใจ  นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสถานการณ์โลก สังคม เศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อมที่มีความไม่แน่นอน การที่ครูไม่มีโอกาสพัฒนาตัวเองอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อความมั่นใจ และความมั่นคงภายในของครู

4. ออกแบบการเรียนรู้ให้เปี่ยมพลัง : เชื่อมโยงกับโลกและชีวิต สร้างสรรค์นิเวศการเรียนรู้ใหม่ ๆ
Insights : การเรียนรู้ในห้องเรียนที่ผ่านมา มักไม่ตอบโจทย์ชีวิตจริงของผู้เรียน และไม่เชื่อมโยงกับโลก เกิดความน่าเบื่อ เรียนเพื่อรู้เท่านั้น

5. พยายามก้าวข้ามข้อจำกัด : มองเห็นโอกาส มากกว่าปัญหาหรือุปสรรค
Insights : ภายในระบบ และโครงสร้างขององค์กร มีข้อจำกัดมากมาย แม้ครูหลายคนเคยลองสร้างการเปลี่ยนแปลงมาแล้วหลายวิธี แต่ไม่อาจเห็นการเปลี่ยนแปลง จนรู้สึกท้อแท้ หมดหวังว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ การมีตัวช่วยต่างๆ สร้างระบบสนับสนุนให้ครูมีความเชื่อมั่น มองเห็นโอกาสว่าสามารถเปลี่ยนแปลงได้จากบทบาทหน้าที่ ความถนัดของตนเอง เช่น การมีเครือข่ายครูที่สนใจเรื่องเดียวกัน การเลือกสถานการณ์ ปัญหาใกล้ตัว ที่ครูเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือได้รับผลกระทบทางตรง แม้จะเป็นเรื่องเล็ก ๆ ก็ตาม หากได้เริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลง จะนำไปสู่ความเชื่อมั่นว่าเขาสามารถทำได้

ในระหว่างการทำโครงการ มีสิ่งที่ได้เรียนรู้และข้อค้นพบที่น่าสนใจ ข้อมูลเชิงลึก (​Insights) ต่าง ๆ หวังว่าจะมีประโยชน์กับคนที่สนใจพัฒนาการศึกษาในบริบทของโรงเรียน มาเล่าสู่กันฟังค่ะ


ความซับซ้อนและความท้าทายของนิเวศการเรียนรู้ในโรงเรียน 

1. ไม่เคยมี one size fits all สำหรับการเรียนรู้

จากการค้นหาปัญหาที่แท้จริงผ่านการสร้างการมีส่วนร่วมของคุณครู ทั้ง 6 โรงเรียนซึ่งมีบริบทแตกต่างกัน ทั้งระดับการเรียนการสอนที่มีตั้งแต่เตรียมอนุบาล ประถม มัธยมต้น มัธยมปลาย ขนาดโรงเรียนที่มีนักเรียนตั้งแต่หลักร้อย ไปจนถึงโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษหลักพันคน  โรงเรียนสังกัด สพฐ. โรงเรียนเอกชน โรงเรียนในสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีทำเลตั้งอยู่ตามภูมิภาคต่าง ๆ ได้แก่ ภาคกลาง (ปราจีนบุรี, ฉะเชิงเทรา) ภาคอีสาน (หนองบัวลำภู) ภาคตะวันออก (ตราด) และภาค ใต้ (สตูลและสงขลา) ทุกโรงเรียนมีบริบทชุมชน สังคม และวัฒนธรรมที่แตกต่างกันในแบบของตัวเอง มีความพร้อมของทรัพยากรคน เงิน เวลา ที่ต่างกัน เช่น โรงเรียนเอกชนมีอิสระที่จะบริหารจัดการ ครูและผู้บริหารสามารถร่วมกันตั้งเป้าหมายในการขับเคลื่อนโรงเรียนได้ชัดเจนและสามารถทำอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่โรงเรียนรัฐ ผู้บริหารเปลี่ยนเป็นระยะ ๆ หากทีมครูไม่เข้มแข็ง รอการเปลี่ยนแปลงจากผู้บริหาร ทิศทางของโรงเรียนก็จะปรับเปลี่ยนไปเรื่อยตามผู้บริหารและนโยบายจากส่วนกลาง ทำให้ยากในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น ความต่างของบริบทโรงเรียนเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องคำนึงถึงมากที่สุด

ถ้าเรามองภาพรวมของการศึกษา การ implement นโยบายต่าง ๆ จากบนลงล่างที่ผ่านมา เราจะพบว่ามักสร้างปัญหามากกว่าสร้างการเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถกำหนดวิธีการที่แน่นอนให้ทำเหมือน ๆ กันได้
สิ่งที่ควรทำ/ทำได้ คือ
1. ทำแบบบนลงล่างและล่างขึ้นบนไปพร้อมกัน ทีมครูจำเป็นต้องมีความเข้มแข็งในการทำงานร่วมกัน เพื่อกำหนดทิศทางของโรงเรียนและเด็ก โดย ตั้งเป้าหมายปลายทางที่ชัดเจน เข้าใจร่วมกัน ผู้บริหารช่วยหนุนเสริมสิ่งที่ขาด แล้วเปิดโอกาสให้หาวิธีการที่แตกต่างกันเพื่อไปสู่เป้าหมาย จะทำได้จริงตามบริบทของแต่ละโรงเรียน จะยั่งยืนมากกว่าผูกติดกับผู้บริหารหรือนโยบายที่มีการเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยตามวาทะกรรมยอดฮิตในช่วงนั้น ๆท
2.การเก็บองค์ความรู้ ถอดบทเรียนอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถนำไขยายผลในอนาคตกับโรงเรียนที่มีบริบทคล้ายคลึงกันได้
เรามักถอดบทเรียนกันบ่อย เป็นระยะๆ หลายโรงเรียนมีวงพูดคุย มีวง PLC ประชุมกันบ่อย แต่ไม่ค่อยเก็บองค์ความรู้มองในแง่ของการขยายผลและความยั่งยืน
การจัดการองค์ความรู้ เป็นเรื่องที่ต้องจัดสรรทรัพยากรแบ่งเวลา และหาคนรับผิดชอบทำอย่างจริงจัง ในขณะที่การทำงานของครู ภาระงานมีมากจึงเป็นไปได้ยาก แต่ควรมองหาแนวทางในการทำสิ่งนี้ เช่น การทำงานร่วมกับพาร์ทเน่อ นักวิจัย มหาวิทยาลัย เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่มีคนภายนอกเข้ามาช่วยโรงเรียนในการจัดเก็บองค์ความรู้ให้เป็นระบบและสามารถนำไปขยายผลต่อได้มากขึ้น
3. ออกแบบวงจรป้อนกลับ (Feedback Loop) ของการทำงาน ให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจริงทั้งในเชิงปริมาณ และคุณภาพ พิจารณาผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งบวกและลบ ต้องไม่ละเลยผลกระทบเชิงลบ เพราะส่วนใหญ่จะมองแต่ภาพความสำเร็จของกิจกรรม มากกว่าวัดผลลัพธ์ของการทำงาน และความยั่งยืนในระยะยาว
การเห็นฟีดแบคของการสร้างการเปลี่ยนแปลงของโครงการที่ทำเป็นระยะ ๆ ช่วยให้สามารถปรับกระบวนการ วิธีการได้เหมาะสม

2. ช่องว่างระหว่างวัยในโรงเรียน

ความต่างของเจนเนอเรชั่นนำมาซึ่งความคิดความเชื่อ  (Mental Model) ที่แตกต่างกัน ส่งผลต่อการทำงานร่วมกันทั้งรูปแบบการทำงาน วิธีการสื่อสาร การตัดสินใจเรื่อง ต่าง ๆ โดยไม่มีใครผิดใครถูก เช่น 

ครูรุ่นเก่า 
(อยู่มานานอายุ 3x-60 ปี)
ครูรุ่นใหม่ 
(เพิ่งเริ่มทำงาน จบใหม่)
บทบาทหน้าที่ความเป็นครู มุมมองของครูที่ทุ่มเททำงานเพื่อเด็ก (ชีวิตคือบทบาทความเป็นครู ให้ความสำคัญกับเด็ก มาก่อนเวลาเพื่อดูแลความปลอดภัย ทำทุกอย่างเพื่อให้เด็กดี มุ่งความเป็นเลิศ งานไม่เสร็จไม่กลับ วันหยุดถ้ามีงานที่เกี่ยวข้องกับโรงเรียน เด็ก ผู้ปกครอง ชุมชน ก็ควรมา)   มุมมองเรื่องสมดุลงาน-ชีวิต (เวลาเริ่ม เวลาเลิกงานไม่ควรทำงาน ไม่ตอบไลน์นอกเวลาและวันหยุด วันเทศกาลควรเป็นวันพัก งานอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนไม่จำเป็นก็ไม่ควรทำ)
การดูแลเด็ก มุมมองที่มองความเสมอภาค เด็กแต่ละคนมีศักยภาพแตกต่างกัน จำเป็นต้องดูแล เอาใจใส่ไม่เหมือนกัน บางคนทำไม่ได้ ไม่ควรใช้เกณฑ์เดียว มุมมองความยุติธรรม ควรจะปฏิบัติต่อเด็กให้เหมือนกัน ไม่ควรตามใจหรือปฏิบัติต่อเด็กแตกต่างกัน ตามใจหรือลดหย่อนบางอย่างเพื่อบางคน
การเรียนการสอนการสอนเนื้อหาวิชาการ มีสาระ เด็กจะได้ประโยชน์ การเรียนการสอนที่เน้นกิจกรรม การเล่น ความสนุก
การใช้เทคโนโลยีตามไม่ค่อยทัน
พอไม่ทำ-ทำช้า โดนมองว่าเอาเปรียบ (คนที่ทำได้ไวกว่า โดนมอบหมายงานให้ทำแทน) 
ใช้เทคโนโลยีต่างๆ ทุ่นแรงในการสอน และจัดการระบบการทำงาน
3. Soft skills จำเป็นมากสำหรับครู 

บทบาทหน้าที่ของครูในยุคนี้นอกจากความรู้และทักษะในการถ่ายทอด-สอนแล้ว ยังมีทักษะอื่น ๆ ที่จำเป็นและส่งผลกระทบต่อคุณภาพการเรียนการสอน

เพราะครูก็เป็นอีกหนึ่งอาชีพ ที่ทำงานอยู่ในลักษณะองค์กรที่มีความแข็งตัวมาก ในขณะที่โลกเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว หลายครั้งที่ครูเกิดความไม่แน่ใจว่าการทำงานของตัวเองว่าดีไหม ถูกไหม  ไม่ว่าจะเป็นการเรียนการสอนจะทันกับโลกปัจจุบันหรือเปล่า จะสามารถทำให้เด็กมีคุณภาพได้หรือไม่ วิธีการที่ใช้อยู่ดีแล้วหรือยัง นำไปสู่ความไม่มั่นใจและความมั่นคงภายในของคุณครูเป็นอย่างมาก การทำงานในสภาวะกดดันและต้องปรับตัวตลอดเวลา ส่งผลต่อคุณภาพภายในของครู

  • ทักษะการเข้าใจและจัดการอารมณ์ความรู้สึกตนเอง  เมื่อปัญหามีรอบด้านมาพร้อมกับความเครียดและกดดัน ทั้งการเรียนการสอน การรับมือกับเด็ก ๆ ที่ยากขึ้น ทักษะในการเข้าใจ จัดการอารมณ์ ความรู้สึกของตนเองจึงสำคัญมาก เพราะส่งผลต่อท่าที่ คำพูดที่ครูเลือกใช้กับเด็ก ๆ เวลาเด็กทะเลาะกัน หรือทำพฤติกรรมที่ครูมองว่าไม่น่ารัก จะสื่อสารอย่างไรให้เข้าใจกันและเกิดการเรียนรู้ร่วมกันได้ ครูมีความคาดหวังในตัวเองให้ทำสิ่งที่ถูกต้องจึงมีความกดดัน ความไม่มั่นใจและไม่มั่นคงภายในเมื่อเผชิญกับสถานการณ์ยาก ๆ
    สิ่งสำคัญสำหรับทักษะนี้ คือ การมองว่าครู คือมนุษย์คนหนึ่งที่มีอารมณ์ ความรู้สึก โกรธได้ เสียใจได้ เครียดได้ ทำผิดพลาดได้ เช่นกัน 
  • ทักษะการสื่อสาร บริบทความเป็นทางการและโครงสร้างเชิงอำนาจในโรงเรียนที่ฝั่งรากมาช้านาน สถานการณ์ที่พบ เช่น การสื่อสารมักจะเป็นแบบบนลงล่าง สั่งการ แจ้งให้ทราบและทำตาม ขอความร่วมมือ (แต่ไม่ถามว่าอยากทำไหม) ความเคยชินกับการสอนแบบบอกให้รู้ มักจะเป็นการสื่อสารทางเดียว
    การสื่อสารที่ครูอยากเห็น เช่น
    1. มีการเปิดพื้นที่รับฟัง สร้างความเข้าใจและสร้างการมีส่วนร่วมให้เกิดการตั้งคำถาม ชวนคิด หาคำตอบ เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน (แบบร่วมกันจริง ๆ ไม่ใช่ผู้บริหาร หัวหน้างานเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์) เพราะครูอยากมีเพื่อนร่วมทาง มีพื้นที่ในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
    2. สื่อสารให้เห็นเป้าหมายร่วม (shared vision) ก่อนการทำงาน ไม่ใช่การสั่งการ หรือแจ้งให้ทราบและทำตาม รวมถึงการรับฟังความต้องการ ความรู้สึกเพื่อค้นหาวิธีการไปสู่เป้าหมายร่วมกัน โดยไม่กดดัน
    3. สื่อสารมุ่งประสิทธิภาพและผลลัพธ์ (สั้น กระชับ ตรงประเด็น) การสร้างวัฒนธรรมการประชุมอย่างมีประสิทธิภาพ อยากขอให้ใครช่วยทำอะไร เสร็จเมื่อไหร่ ติดตาม สอบถามได้ที่ใคร โดยสามารถใช้เครื่องมือต่าง ๆ หรือเทคโนโลยีเข้ามาช่วย ในการบริหารจัดการงาน
    เช่น การนำกระบวนการ Action Learning มาให้คุณครูได้เรียนรู้และนำไปปรับใช้ในการทำงานของตนเอง
  • ทักษะการทำงานเป็นทีมและการบริหารจัดการโครงการให้มีประสิทธิภาพ
    บทบาทหน้าที่หลักของครู คือการสอน แต่จริง ๆ แล้วยังมีงานโปรเจกต์มากมายที่ต้องใช้ทักษะการบริหารจัดการคน ทรัพยากร เงินและเวลา ให้เสร็จอย่างมีประสิทธิภาพ การเลือกจัดลำดับความสำคัญของงาน ตัดสิ่งที่ไม่สำคัญออก หรือตั้งคำถามกับกระบวนการ-งานที่ไม่จำเป็น เพื่อที่จะทำเฉพาะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ เท่านั้น ทั้งนี้แม้งานจะเยอะหากบริหารจัดการดี และมีการทำงานเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพจะช่วยลดภาระงานลงได้ ซึ่งทักษะเหล่านี้ เรามักใช้กันเป็นปกติในการทำงานของภาคธุรกิจ การหยิบยืมเครื่องมือ กระบวนการ องค์ความรู้จากภาคธุรกิจมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานจะช่วยลดภาระการทำงานของครูได้ โดยครูเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ โดยจะต้องหาโอกาส/พื้นที/เวลา เพื่อเข้าถึงเครื่องมือ กระบวนการเหล่านี้ เช่น การนำแนวคิด SCRUM/Agile มาใช้ในการบริหารจัดการโครงการ
  • ทักษะการเป็นหัวหน้างาน การบริหารงานและทำงานกับคนที่แตกต่างหลากหลายเป็นทักษะหนึ่งที่จำเป็น การมองเห็นศักยภาพของสมาชิกในทีม สิ่งที่ทำได้ดี สิ่งที่ควรพัฒนาและสนับสนุนให้เหมาะสม (ไม่ใช่ใครทำอะไรก็ได้ หรือต้องทำเพราะหน้าที่ ไม่สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาส่วนตัว) สถานการณ์ที่มักเกิดขึ้นเหมือนกับองค์กรทั่วไปที่มีคนต่างวัย ต่างประสบการณ์ การสั่งงาน การสื่อสารเข้าใจไม่ตรงกัน เมื่อเกิดความไม่เข้าใจ รุ่นน้องไม่กล้าถามรุ่นพี่ ทำไปก่อน ทำไม่ได้ไม่บอก แต่พอทำแล้วผิดต้องแก้ เกิดการทำงานซ้ำซ้อน หรือถึงกำหนดส่งทำไม่ทัน
    สิ่งที่ควรหนุนเสริม เช่น ทักษะการโค้ชเพื่อดึงศักยภาพของทีม แทนที่จะสอนงานอย่างเดียว ปรับมาเป็นการตั้งคำถามทรงพลัง พัฒนาทักษะการทำงานของสมาชิกในทีม ช่วยให้เขาสามารถหาคำตอบได้ด้วยตนเอง

4. ภาระงานที่ท่วมท้นของครู

บทบาทหน้าที่และงานที่ครูถูกเรียกร้องให้ทำมีมากมาย นอกเหนือจากการเป็นครูดีที่ สอนเก่ง ยังต้องดูแลสุขภาพกายและใจเด็ก เยี่ยมบ้าน อยู่เวรดูแลความปลอดภัยเด็กก่อนและหลังเลิกเรียน ตอบคำถามผู้ปกครอง ดูแลเด็กที่มีปัญหา ดูแลความเรียบร้อยโรงเรียน สถานที่ ป้องกันยาเสพติด เศรษฐกิจพอเพียง โรงเรียนสีขาว โรงเรียนนวัตกรรม โรงเรียน zero waste มุ่งสู่ความเป็นเลิศ โรงเรียนฐานสมรรถนะ ต่าง ๆ นอกจากนี้ยังต้องสร้างความเชื่อมั่น ความพอใจให้ผู้ปกครองและชุมชน ครูต้องรับผิดชอบงานที่หลากหลายนอกเหนือจากการเรียนการสอน การวัดผล การทำรายงาน การเงิน งบประมาณ

จากการเก็บข้อมูลชั่วโมงการทำงานของครูพบว่า ครูหลายคนต้องทำงาน 50-60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ (ยังไม่นับเวลาอบรม สัมมนา ประชุมนอกสถานที่ต่าง ๆ กิจกรรมนอกเหนือจากภาระงานทั่วไป เช่น งานชุมชน งานเชิงนโยบายที่สั่งมาแบบกระทันหัน)  
ตัวอย่างสิ่งที่ช่วยลดภาระงานของครูได้ เช่น
1. การทำงานเป็นทีม และการสอนแบบบูรณาการน่าจะช่วยลดภาระงานของครูลงได้
2. การจัดลำดับความสำคัญของงาน การวางแผลกลยุทธ์ที่เหมาะสมเพื่อให้โรงเรียนสามารถมุ่งสู่เป้าหมายได้มีความจำเป็น เลือกสิ่งที่จะ “ไม่ทำ” สำคัญกว่า
3. การจัดระบบการทำงานและนำเครื่องมือต่างเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยทุ่นแรง รวมถึงการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ลดการทำงานซ้ำซ้อน ยืดเยื้อ ความเป็นพิธีการบางอย่างที่ไม่จำเป็น

5. เด็กที่เปลี่ยนแปลงไป

โดยเฉพาะหลังช่วงโควิดเป็นต้นมา คุณครูพบว่า Learning Lost ส่งผลอย่างมากต่อเด็กโดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะการพูด การสื่อสาร เด็กจำนวนมากมีปัญหาสุขภาพจิต ภาวะเครียด ซึมเศร้า การติดเกมที่เพิ่มมากขึ้น การเข้าถึงสิ่งเสพติดได้ง่าย เช่น กัญชา น้ำกระท่อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรงเรียนในต่างจังหวัด เด็กเติบโตมาในครอบครัวแหว่งกลาง ฐานะปานกลางถึงยากจน ต้องอยู่กับปู่ย่าตายาย พ่อแม่ต้องไปทำงานนอกพื้นที่ กว่าครึ่งครอบครัวหย่าร้าง โดยรวมแล้วส่งผลถึงการเรียนรู้ ติด 0 ร มส. ส่งผลให้ครูต้องทำงานหนักขึ้น เพื่อช่วยเหลือเด็กกลุ่มนี้ 
นอกจากนี้ ครูสังเกตว่าในห้องเรียนเด็กเก่งและเด็กอ่อนมักจะได้รับการเอาใจใส่อยู่แล้วตามปกติ แต่เด็กที่อยู่ระดับกลางๆ ของห้องจะนิ่ง เฉย แม้มีศักยภาพแต่ไม่ถูกนำออกมาใช้ได้เต็มที่ การช่วยดึงศักยภาพของเด็กเพื่อให้ค้นหาตัวเองเจอ เป็นอีกเรื่องที่สำคัญ 

6. ผู้ปกครองไม่รู้วิธีการจัดการกับอารมณ์ ความรู้สึกของตนเอง

ผู้ปกครองสะท้อนว่า ตนเองขาดเครื่องมือและวิธีการสื่อสารกับลูกอย่างสร้างสรรค์ รวมถึงการเข้าใจศักยภาพ จุดแข็งต่าง ๆ ของลูกที่จะช่วยให้สามารถสนับสนุน ดึงศักยภาพของเด็กออกมาได้ การทำงานร่วมกันระหว่างโรงเรียนและผู้ปกครอง นอกจากช่วยให้ผู้ปกครองเรียนรู้ร่วมกันไปพร้อมกับโรงเรียนแล้ว การเข้าใจบทบาทหน้าที่ ความคาดหวังระหว่างบ้านและโรงเรียน เพื่อทำงานร่วมกันเป็น “ทีม” ช่วยให้เกิดนิเวศการเรียนรู้ที่ไปทางเดียวกัน ช่วยลดภาระงานของครูได้ด้วย

ภาพจากกระบวนการทำความเข้าใจปัญหา โรงเรียนสุจิปุลิ

7. โรงเรียนกับผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมในชุมชน

จากการสำรวจพบของโรงเรียนในโครงการ พบว่าโรงเรียนเป็นแหล่งสร้างขยะปริมาณมหาศาล เฉลี่ยเด็ก 1 คน สร้างขยะมากถึงคนละ 5  ชิ้นต่อวัน เช่น ชวดน้ำพลาสติก ถุงขนม แก้วน้ำพลาสติก จานอาหารใช้แล้วทิ้ง ถุงพลาสติกใส่อาหาร  หากโรงเรียนสามารถจัดการลดต้นทาง ไปจนถึงจัดการขยะได้อย่างเป็นระบบจะช่วยลดภาระของชุมชนได้มาก หากโรงเรียนมีเด็ก 2000 คน จะมีขยะวันละ 10,000 ชิ้นต่อวันเลยทีเดียว ยังไม่รวมขยะจากการจัดกิจกรรม นิทรรศการ ตกแต่งสถานที่ ชิ้นงานของนักเรียน ในแต่ละระดับชั้น

โรงเรียนเองมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลายฝ่ายที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น วิสัยทัศน์ของผู้บริหาร ระบบการจัดการขยะของชุมชน โครงสร้างและนโยบายที่เกี่ยวข้องส่งผลกระทบกับหลายฝ่าย ยกตัวอย่างเช่น ถ้าไม่ให้ขายน้ำ ร้านค้าจะเสียรายได้ แต่สร้างขยะขวดพลาสติกจำนวนมาก) โรงอาหารมีขนาดไม่พอกับจำนวนนักเรียน (การสร้างโรงอาหารให้มีขนาดใหญ่เพียงพอใช้งบประมาณสูงไม่สามารถทำได้ ทำให้ต้องใช้ภาชนะใช้แล้วทิ้ง เด็กสามารถถือไปกินที่อื่นได้ เกิดขยะภาชนะใช้แล้วทิ้ง และขยะเศษอาหารอยู่ตามบริเวณรอบโรงเรียน) ถังขยะไม่เพียงพอในบางจุด รวมถึงเด็กนักเรียนไม่เห็นว่าต้องรักษาความสะอาด เพราะมีแม่บ้าน ภารโรงคอยเก็บให้ เป็นต้น 


จะเห็นว่าการสร้างนิเวศการเรียนรู้ที่เอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียนนั้นมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องหลายด้าน จำเป็นต้องใช้เวลาและค้นหาวิธีการที่เหมาะสมกับบริบททางสังคม ชุมชน และโรงเรียนแต่ละแห่ง ครูจึงจำเป็นต้องลงมือปฏิบัติการ ทดลอง เรียนรู้ และปรับเปลี่ยนแนวทางอย่างสม่ำเสมอ โดยได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานต้นสังกัด เครือข่ายครู ตลอดจนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย รวมถึงหน่วยงานภายนอกเช่น มหาวิทยาลัย ภาคธุรกิจ เพื่อร่วมกันสร้างนวัตกรรมนิเวศการเรียนรู้รูปแบบใหม่ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้เรียนและสอดคล้องกับบริบทของโรงเรียนนั้น ๆ

ติดตามเรียนรู้เกี่ยวกับโครงการพัฒนานิเวศการเรียนรู้กับพวกเราได้ในตอนต่อไปนะคะ
เส้นทางการสร้างนวัตกรรมพัฒนานิเวศการเรียนรู้ #โรงเรียนปล่อยแสง ปี 3

อ้างอิง
1. กิตติรัตน์ ปลื้มจิตร. (2567) รายงานวิจัยประเมินผลภายในถอดบทเรียนและสังเคราะห์องค์ความรู้โครงการโรงเรียนปล่อยแสงพัฒนานิเวศการเรียนรู้. คณะวิทยาการเรียนรู้และศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.