เมื่อบุคลากรสุขภาพจิตลุกขึ้นมาเรียนรู้การสร้างการเปลี่ยนแปลงจากภายในระบบ
ปัจจุบัน ระบบสุขภาพจิตของประเทศไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อย ๆ ตั้งแต่จำนวนผู้ป่วยจิตเวชที่เพิ่มขึ้น ภาวะซึมเศร้าและความเครียดที่แผ่ขยายในสังคม ไปจนถึงข้อจำกัดของบุคลากรและทรัพยากรที่ไม่เพียงพอ การจะรับมือกับความซับซ้อนเหล่านี้จึงไม่อาจพึ่งพาวิธีคิดแบบเดิมได้อีกต่อไป หากแต่ต้องเริ่มจากการเข้าใจเชิงลึก ซึ่งหมายรวมถึงการเข้าใจผู้คน ระบบ และความสัมพันธ์ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังปัญหา
เพื่อจุดประกายการเปลี่ยนแปลงผ่านการสร้างนวัตกรรมสุขภาพจิต Insights for Change ร่วมกับ สำนักวิชาการสุขภาพจิต กรมสุขภาพจิต ได้จัดโครงการ “ออกแบบนวัตกรรมสุขภาพจิต : จากไอเดียสู่การเปลี่ยนแปลง” (Insights to Innovation) โดยนำแนวคิด Systemic Design หรือ การผสมผสานระหว่าง การคิดเชิงระบบ (Systems Thinking) และ การคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) มาประยุกต์ใช้ เพื่อให้บุคลากรสุขภาพจิตได้ฝึกมองเห็นภาพรวมของระบบ เข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างปัญหา และออกแบบนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ได้จริงในบริบทของตนเอง เป็นระยะเวลา 3 เดือน ตั้งแต่วันที่ 14 พ.ค. – 15 ส.ค. 2568
โครงการนี้ไม่เพียงมุ่งพัฒนาทักษะ “นวัตกร” ให้กับบุคลากรกรมสุขภาพจิตแต่ยังเปิดพื้นที่ให้ผู้เข้าร่วมได้ฝึกการฟังอย่างลึกซึ้งและการเรียนรู้ร่วมกัน ผ่านการค้นหาข้อมูลเชิงลึก (Insights) จากประสบการณ์จริงของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหา จนเกิดเป็นการเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับความคิดของนวัตกร และระดับการทำงาน สร้างต้นแบบไอเดียนวัตกรรมเพื่อนำไปต่อยอดในอนาคต
การเดินทางของนวัตกรสุขภาพจิต
กว่า 3 เดือนของการเรียนรู้ มีบุคลากรจาก 8 องค์กรในสังกัดกรมสุขภาพจิตเข้าร่วม ได้แก่
ศูนย์สุขภาพจิตที่ 5, 7, 10, 13 โรงพยาบาลศรีธัญญา โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ โรงพยาบาลสวนปรุง และโรงพยาบาลจิตเวชสงขลาราชนครินทร์ รวมนวัตกรสุขภาพจิตกว่า 35 คน ที่ร่วมกันสำรวจ ทำความเข้าใจ และออกแบบร่างนวัตกรรมสุขภาพจิตเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลง ในพื้นที่ของตน
ระหว่างกระบวนการค้นหาข้อมูลเชิงลึก (Insight Finding) ผู้เข้าร่วมได้ฝึกสำรวจประเด็นปัญหาที่สนใจ กำหนดประเด็นปัญหา ค้นหาและวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิ ตั้งคำถาม ฟังเสียงของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และมองเห็นระบบการทำงานจากหลายมุมมอง จนเกิดการตระหนักรู้ใหม่ ๆ ว่าปัญหาที่เห็นอาจไม่ใช่ปัญหาที่แท้จริง และการแก้ไขอย่างยั่งยืนต้องเริ่มจากการเข้าใจคนอย่างลึกซึ้ง

ทีม PrasriECT – โรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์: เข้าใจมากกว่า “การรักษา”
ทีม PrasriECT จากโรงพยาบาลพระศรีมหาโพธิ์ จังหวัดอุบลราชธานี เริ่มต้นด้วยโจทย์เกี่ยวกับผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่เข้ารับการรักษาด้วยไฟฟ้า (ECT: Electroconvulsive Therapy) ซึ่งแม้จะได้ผลทางการแพทย์จะชัดเจน แต่ผู้ป่วยวัยรุ่นจำนวนไม่น้อยกลับเผชิญภาวะซึมเศร้าอีกเมื่อกลับไปอยู่ในสังคม
ในตอนแรก ทีมคิดว่าการรักษาทางการแพทย์เท่านั้นคือทางออกหลักของปัญหา แต่เมื่อได้ไปสัมภาษณ์กลุ่มเป้าหมาย ทั้งครู นักเรียน และครอบครัว พวกเขากลับพบสิ่งที่คาดไม่ถึง นั่นคือ ต้นตอของความทุกข์หลายอย่างไม่ได้อยู่ในโรงพยาบาล แต่อยู่ในสังคมรอบตัว โดยเฉพาะที่โรงเรียน
หนึ่งในสาเหตุหลักที่วัยรุ่นกลายมาเป็นผู้ป่วยและกลับมาเป็นผู้ป่วยซ้ำ คือการไม่ได้รับการยอมรับโดยเพื่อนที่โรงเรียน เพื่อนมักแกล้งหรือดุด่าตลอด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ถูกใจเพื่อน เพื่อรวมตัวกันกีดกันไม่ให้เข้าร่วมกลุ่มด้วย มากไปกว่านั้น เพื่อนบางคนบอกกับผู้ป่วยว่า “รักษาไปก็ไม่ดีขึ้นหรอก” และไล่ให้จากโลกนี้ไป แม้ครูจะพยายามเข้ามาช่วยเหลือด้วยการห้ามแกล้งแต่ก็ไม่เป็นผล
แม้ว่าโรงเรียนจะเคยมีโครงการดูแลสุขภาพจิตของนักเรียน แต่ด้วยภาระงานของครู และเวลาอันจำกัดของโรงเรียนที่มีกิจกรรมอื่นๆมากมาย ทำให้โครงการไม่ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่องจนเห็นเป็นรูปธรรม ความต้องการของผู้ป่วยวัยรุ่นที่ต้องการเพื่อนที่เข้าใจ คนรับฟัง หรือพื้นที่ปลอดภัยจึงยังไม่ได้รับการตอบสนอง
“เราเพิ่งเข้าใจว่าการบำบัดเพียงอย่างเดียวไม่พอ เด็กที่กลับไปเจอสภาพแวดล้อมเดิม ถูกบูลลี่ ถูกตีตรา มันทำให้เขาเสี่ยงกลับมาเจ็บป่วยอีกครั้ง การรักษาที่แท้จริงต้องเกิดในพื้นที่ชีวิตของเขาด้วย” – สมาชิกทีม PrasriECT
จากข้อมูลเชิงลึกนี้ ทีม PrasriECT จึงพัฒนาแนวคิด “เพื่อนแท้ฮีลใจ ไร้บูลลี่ ไร้ตีตรา” เพื่อสร้างเพื่อนที่เข้าใจและมีทักษะในการช่วยเหลือ ลดการตีตรา และสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโรงเรียน ผ่านการให้ความรู้เรื่องภาวะซึมเศร้าอย่างถูกต้อง ฝึกทักษะการช่วยเหลือและสื่อสารอย่างเหมาะสม สร้างความตระหนักรู้และลดการตีตราในสังคมเพื่อน โดยมีกลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนมัธยมปลาย ในจังหวัดอุบลราชธานี และเพื่อไม่ให้กิจกรรมนี้เป็นเพียงกิจกรรมที่จัดขึ้นครั้งเดียวแล้วจบไป ทีมมีความตั้งใจที่จะทำงานร่วมกับครูและโรงเรียนเพื่อให้กิจกรรมนี้และกิจกรรมด้านสุขภาพจิตอื่นๆที่เกี่ยวข้องให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรและวัฒนธรรมของโรงเรียนต่อไป เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรและสนับสนุนการฟื้นฟูทางใจของเด็ก ๆ ซึ่งเป้าหมายไม่ใช่แค่ลดการกลับเป็นซ้ำ แต่เพื่อสร้าง “ระบบสนับสนุนทางใจ” ที่อยู่ใกล้ตัวผู้เรียนที่สุด
แม้ในขณะนี้จะยังติดเงื่อนไขในเรื่องสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ ทำให้ยังไม่สามารถดำเนินการได้ แต่ทีมได้เห็นแนวทางแล้วว่า นอกเหนือจากการบำบัดด้วย ECT ซึ่งเป็นบทบาทหลักของทีมแล้ว การทำงานกับระบบนิเวศของผู้ป่วย โดยเฉพาะสังคมซึ่งเป็นสาเหตุหลักของปัญหาอย่างโรงเรียนนั้น เป็นบทบาทที่จำเป็นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และทีมจะไม่ได้รับการยืนยันในข้อมูลนี้เลยหากไม่ได้รับฟังจากผู้ป่วยอย่างเปิดใจ

ทีม North Star – โรงพยาบาลสวนปรุง: ฟังลึกจนเห็นหัวใจของผู้ป่วยสารเสพติด
อีกหนึ่งทีมที่ได้นำข้อมูลเชิงลึกจากการสัมภาษณ์ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและการวิเคราะห์ข้อมูลทุติยภูมิมาใช้ในการออกแบบร่างนวัตกรรมสุขภาพจิตคือ ทีม North Star จากโรงพยาบาลสวนปรุง ที่หยิบโจทย์ปัญหา “ผู้ป่วยกลับมาใช้สารเสพติดซ้ำ” เนื่องจากอัตราการครองเตียงของผู้ป่วยใช้สารเสพติดซ้ำสูงเป็นอันดับ 2 ของโรงพยาบาล (คิดเป็น 17.85%) ทำให้ไม่สามารถรับผู้ป่วยอื่นได้ และวิธีการในการดูแลแบบเดิม คือการให้ยากลับบ้านไปนั้นไม่ได้ผล ผู้ป่วยจะกลับมารักษาซ้ำ
ทีมจึงเริ่มจากรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลสถิติในวอร์ด แต่เมื่อได้สัมภาษณ์ผู้ป่วยและญาติ กลับพบความจริงที่ลึกกว่านั้น ผู้ป่วยส่วนใหญ่ “อยากเลิกใช้สารเสพติด” แต่เมื่อกลับไปสู่สภาพแวดล้อมเดิม ซึ่งแวดล้อมไปด้วยปัจจัยกระตุ้น โดยเฉพาะความเครียดและความกังวลจากปัญหาต่างๆ เช่น เศรษฐสถานะ การงาน สุขภาพ ครอบครัว เป็นต้น ที่ผู้ป่วยรู้สึกว่าไม่มีทางออกอื่นนอกจากกลับไปเสพซ้ำเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา และครอบครัวเองก็ไม่รู้จะช่วยอย่างไร
สมาชิกทีม เล่าว่า
“การได้ฟังผู้ป่วยจริง ๆ ทำให้เราเห็นมุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อน มันไม่ใช่แค่เรื่องวินัยหรือแรงจูงใจ แต่พวกเขาต้องการความเข้าใจ การยอมรับ และความสัมพันธ์ที่ต้องเยียวยาไปพร้อมกัน ผู้ป่วยเองก็รู้สึกละอายใจที่ต้องกลับมาเสพซ้ำ”
ทีม North Star จึงต่อยอดแนวคิดโครงการต้นแบบ แอปพลิเคชันติดตามและดูแลผู้ป่วยสารเสพติด ที่ช่วยเตือนการกินยา ให้คำแนะนำเรื่องการฟื้นฟู และเป็นช่องทางสื่อสารกับทีมรักษา เพื่อรักษาสัมพันธ์ระหว่างเจ้าหน้าที่ผู้ให้การรักษาและคนไข้ไว้อย่างต่อเนื่อง ทำให้คนไข้รู้สึกว่ามีคนรับฟังและเป็นกำลังใจให้เขาอยู่เสมอ แม้จะมีปัจจัยกระตุ้นก็ตาม โดยออกแบบให้ใช้งานง่ายและเชื่อมโยงกับระบบติดตามของโรงพยาบาล
สิ่งที่ทีมค้นพบระหว่างกระบวนการทำความเข้าใจ คือพวกเขาเรียนรู้ว่าการฟังผู้ป่วยไม่ใช่แค่รวบรวมข้อมูลสำหรับออกแบบแนวทางแก้ไขปัญหา แต่คือการได้ช่วยเยียวยาจิตผู้ป่วยผ่านการรับฟังความต้องการของพวกเขา
“เหนื่อยแต่ภูมิใจมาก เพราะมันทำให้เราเห็นคุณค่าของสิ่งเล็ก ๆ ที่เราทำ เพื่อให้คนไข้ได้กลับมามีชีวิตที่ดีอีกครั้ง”

ทีม MHC07: เข้าใจเด็กพิการทางการได้ยิน ด้วยหัวใจที่ฟังได้แม้ไร้เสียง
ทีมจากศูนย์สุขภาพจิตที่ 7 จังหวัดขอนแก่น ทำงานร่วมกับโรงเรียนโสตศึกษา เพื่อออกแบบระบบดูแลสุขภาพจิต โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้าในกลุ่มนักเรียนผู้พิการทางการได้ยินและการสื่อสารชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนโสตศึกษา จังหวัดขอนแก่น
จากการสัมภาษณ์ครูและเด็ก ทีมค้นพบข้อมูลเชิงลึกว่า การประเมินสุขภาพจิตของเด็ก DHH (พิการและมีปัญหาการได้ยิน) ในปัจจุบันมีอุปสรรคสำคัญหลายด้าน เริ่มจากการใช้แบบประเมินจุดแข็งและจุดอ่อน (Strengths and Difficulties Questionnaire (SDQ)) ของกรมสุขภาพจิตเป็นหลัก ซึ่งมีเนื้อหาเป็นนามธรรมและยังไม่สอดคล้องกับบริบทของเด็ก ทำให้ต้องอาศัยล่ามภาษามือ ปัญหานี้ซ้ำเติมด้วยการที่ครูส่วนใหญ่มีทักษะภาษามือเพียงระดับพื้นฐาน ไม่เพียงพอต่อการสื่อสารเรื่องที่ซับซ้อน ขณะที่โรงเรียนก็ยังไม่มีนักจิตวิทยาประจำ นอกจากนี้ ยังมีการขาดแคลนสื่อด้านสุขภาพจิตที่ผลิตขึ้นสำหรับเด็ก DHH โดยเฉพาะ เช่น คลิปวิดีโอ ละครสั้น หรือภาพวาดที่กำกับด้วยภาษามือ
สมาชิกทีมกล่าวว่า
“เราพบว่าความตั้งใจของทุกคนมีเหมือนกันคืออยากช่วยเด็ก แต่พูดกันคนละภาษา นี่คือช่องว่างที่เราต้องออกแบบบางอย่างมาช่วยเชื่อมช่องว่าง”
จากนั้นทีมจึงพัฒนาแนวคิด เครื่องมือคัดกรองสุขภาพจิตสำหรับเด็กหูหนวก ที่ใช้ภาพและภาษามือแทน เพื่อให้ครูสามารถประเมินและให้ความช่วยเหลือได้อย่างเหมาะสม โดยอิงหลัก “3 ส.” ของกรมสุขภาพจิต ได้แก่ 1. ส.สอดส่องมองหา (สังเกตและค้นหาผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเร่งด่วน เช่น ผู้ที่แสดงอาการเศร้าโศกเสียใจรุนแรง กินไม่ได้ นอนไม่หลับ เครียด เป็นต้น) 2. ส.ใส่ใจรับฟัง (รับฟังหรือรับสารอย่างตั้งใจ รวมทั้งใช้ภาษากาย เช่น จับมือ โอบกอด เพื่อช่วยให้ผู้ได้รับความช่วยเหลือคลายความทุกข์ใจและสามารถบอกเล่าอารมณ์ความรู้สึกออกมาได้) 3. ส.ส่งต่อเชื่อมโยง (ให้ความช่วยเหลือตามความจำเป็น เช่น แนะนำให้รู้จักและเข้าถึงบริการสุขภาพจิต หรือส่งต่อโดยตรงเพื่อให้ได้เข้ารับการรักษา)
แม้ต้องเจอกับข้อจำกัดเรื่องเวลา งบประมาณ และขั้นตอนด้านจริยธรรมการวิจัย แต่สิ่งที่ทุกคนได้รับกลับยิ่งใหญ่กว่า นั่นคือพวกเขาได้เรียนรู้ที่จะฟังอย่างแท้จริง และเข้าใจว่า “การเปลี่ยนแปลง” เริ่มจาก “การรับฟังโดยไม่ตัดสิน”

การเปลี่ยนแปลงที่เริ่มจากภายใน
สิ่งที่ทุกทีมมีร่วมกันคือ “การเติบโตจากภายใน” ทั้งในระดับบุคคลและระดับทีม หลายคนบอกว่าตนได้ฝึกคิดเป็นระบบ กล้าเสนอความคิดเห็นมากขึ้น และเห็นความเชื่อมโยงระหว่างงานประจำกับภาพใหญ่ของระบบสุขภาพจิต
คุณเบนจากทีม North Star บอกว่า
“ตอนแรกแต่ละคนทำงานของตัวเอง แต่พอผ่านกระบวนการ เราเริ่มเห็นคุณค่าของการคิดร่วมกัน มันทำให้งานมีชีวิตและมีหัวใจมากขึ้น”

ในขณะที่ คุณออย จากทีม MHC07 เล่าว่า
“แม้จะเหนื่อย แต่คุ้มค่ามาก เพราะเราได้เห็นแววตาของเด็ก ๆ ที่ได้รับโอกาส และได้เห็นเพื่อนร่วมทีมเติบโตไปด้วยกัน”
จาก Insights สู่ Innovation
โครงการ “ออกแบบนวัตกรรมสุขภาพจิต : จากไอเดียสู่การเปลี่ยนแปลง” คือการปลูกเมล็ดพันธุ์นวัตกรรมในระบบสุขภาพจิตไทย ที่ไม่ได้เกิดจากเทคโนโลยีใหม่ แต่เกิดจาก “ความเข้าใจใหม่” ของคนในระบบ
จากการฟังผู้ใช้บริการ (ผู้ป่วย ญาติ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง) สู่การฟังเพื่อนร่วมงาน และฟังเสียงของตนเอง บุคลากรสุขภาพจิตเหล่านี้ได้พิสูจน์แล้วว่า การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจาก “การฟังอย่างลึกซึ้ง” และ “การมองระบบอย่างเชื่อมโยง”
หากคุณคือคนทำงานที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในองค์กรของคุณ ไม่ว่าจะในสายสุขภาพ สังคม หรือการศึกษา คุณก็สามารถเรียนรู้กระบวนการนี้ได้เช่นกัน
ขอเชิญมาร่วมเรียนรู้กับเราในกระบวนการค้นหา Insights โดยสามารถลงชื่อสนใจเข้าร่วม
โปรแกรม Insights to Innovation 2026 เพื่อรับข่าวสารการประชาสัมพันธ์โครงการได้เร็วๆ นี้