จากการทำงานสนับสนุนการสร้างนวัตกรรมสังคมหลายปีที่ผ่านมา เราเจอคนมากมายที่มีแรงบันดาลใจ อยากริเริ่มสร้างนวัตกรรม อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงแก้ไขปัญหาสังคม และบ่อยครั้งเช่นกันที่เราพบว่านวัตกรรมถูกสร้างขึ้นเพื่อตอบสนองคนทำ ไม่ได้เพื่อคนใช้ หรือแม้ใช้ได้แต่ไม่ได้มองถึงความยั่งยืนในระยะยาว เผลอ ๆ ยังส่งผลกระทบเชิงลบเกินกว่าที่เราคาดการณ์ไว้
ส่วนหนึ่งมาจากการที่เราให้ความสำคัญกับการทำความเข้าใจปัญหา คน และระบบน้อยเกินไป เราควรใส่ใจและให้เวลากับเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นว่าเพราะอะไร ทำไมคนจึงทำแบบนี้ เขาคิดอะไร รู้สึกอะไร มีช่องว่างอุปสรรค์อะไร นอกเหนือจาก “ขาดความรู้ หรือ ขาดการตระหนักรู้” ให้มากพอ ๆ กับการใส่ใจข้อมูลเชิงปริมาณ ตัวเลขทางสถิติ และ หลุดจากกรอบการยึดติดวิธีการ เช่น การใช้เทคโนโลยี นับผลผลิต(จำนวนคน จำนวนครั้ง) โดยมองเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงทำให้ชีวิตคนดีขึ้นอย่างยั่งยืน (ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลา)
Insights for Change อยากจะชวนทุกคนมาให้ความสำคัญกับจุดตั้งต้นของการแก้ไขปัญหา ปรับตัวเองให้เป็น Empathetic problem solver ไม่ด่วนตัดสินปัญหาจากมุมมอง ประสบการณ์ของเราเอง ตระหนักไว้เสมอว่ายังมีคนที่เกี่ยวข้องและปัจจัยอีกมากที่เชื่อมโยงกับเรื่องนี้และมีความซับซ้อนที่เรามองไม่เห็นที่รอให้เราไปทำความเข้าอกเข้าใจ และค้นพบ ลองคิดดูว่า ถ้าปัญหานี้แก้ได้ง่าย ๆ คนอื่นเขาก็แก้กันไปหมดแล้ว จริงไหมคะ ?
Indy Young
“Supporting humans is more important than creating solutions”
บทความนี้ เราอยากชวนทุกคนมาทำความเข้าใจความหมายของคำว่า Empathy โดยหยิบยกคำอธิบายจากแหล่งอ้างอิงต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจมิติต่าง ๆ ของ Empathy ได้ลึกซึ้งขึ้น
นิยาม ความหมาย ของ Empathy
ขอสรุปจากความเข้าใจจากการศึกษาค้นคว้าจากแหล่งต่างๆ ซึ่งให้นิยามคำว่า Empathy ไว้คล้ายๆ กัน ว่า
Empathy (noun.) หมายถึง ความสามารถ (ability) ที่จะเข้าใจหรือจินตนาการว่าผู้อื่นมีความรู้สึกอย่างไร คิดอย่างไร เข้าใจมุมมองและเหตุผลของเขา (ถึงแม้เราเองอาจจะมีมุมมองและเหตุผลที่แตกต่างจากเขาก็ตาม) เกิดจากการมี empathetic mindset ประกอบไปด้วย ความอยากรู้อยากเข้าใจผู้อื่น (curiosity) และการเปิดใจรับฟัง นำไปสู่การตอบสนองอย่างเข้าอกเข้าใจ (empathetic response)
Paul Ekman นักจิตวิทยาชาวอเมริกัน อธิบายลึกขึ้นเกี่ยวกับการเชื่อมโยงทางความรู้สึก (Emotional Resonance) ว่า สมมติว่าเราเจอใครบางคนกำลังพบกับความทุกข์หรือความเจ็บปวดอยู่ แล้วเรารู้สึกเชื่อมโยงกับเขา มีความรู้สึกเดียวกัน หรือเหมือนมีประสบการณ์เดียวกัน เรียกว่า Identical Resonance หากในสถานการณ์เดียวกัน เราตอบสนองต่างออกไป เช่น พูดว่า “ฉันเสียใจด้วยกับสิ่งที่เธอต้องเจอนะ มีอะไรที่ฉันสามารถช่วยเธอได้บ้าง” แม้เราไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บปวดในแบบเดียวกันกับเขา แต่เรามีอารมณ์ ความรู้สึกร่วมที่ตอบสนองต่อความทุกข์ ความเจ็บปวดที่เขามี เรียกว่า Reactive Resonance สำหรับเราแล้วการเชื่อมโยงทั้งสองแบบ ต่างหมายถึง ความเข้าอกเข้าใจ หรือ Empathy
Dr. Brené Brown บอกว่า Empathy = feeling with people ประกอบด้วยคุณสมบัติ 4 ประการ คือ
1. Perspective Taking การมองในมุมมองของผู้อื่น หรือ เข้าใจว่ามุมมองของคนคนนั้น คือ ความจริง ของเขา
2. Staying out of judgement ไม่เอาตัวเราไปตัดสิน ว่าถูกผิด ดี เลว (แม้ว่าเขาจะคิดต่างจากเรา)
3. Recognize emotion รับรู้ความรู้สึกนั้น
4. Communicate that emotion สุดท้าย คือ การสื่อสารความรู้สึกนั้นออกไปให้เขาได้รับรู้
ในบทความของ HBR Connect with Empathy, But Lead with Compassion ได้อธิบายระดับของความแตกต่างของคำ Pity, Sympathy, Empathy ,Compassion ไว้โดยแบ่งระดับตาม ความเข้าใจที่มีต่อประสบการณ์ของผู้อื่น และ ความต้องการจะลงมือช่วยเหลือ ทำให้เราเห็นระดับความแตกต่างของ ความสงสาร เห็นอกเห็นใจ เข้าอกเข้าใจ และเมตตากรุณา ดังนี้
นอกจากนี้ นักจิตวิทยา Daniel Goleman และ Paul Ekman อธิบายไว้ว่า Empathy มี 3 ประเภท คือ
- Emotional Empathy หรือ Empathy with involvement
คือ การที่เรา “รู้สึกร่วม” เชื่อมโยงไปกับความรู้สึก เรื่องราว ของคนอื่น เช่น เราฟังเรื่องราวเพื่อนอกหัก ดูหนังเศร้า แล้วรู้สึกร่วม ร้องไห้ ไปด้วย อินเหมือนว่าเป็นเรื่องของเราเอง การที่เราร้องไห้ อินไปกับเรื่องเรื่องนั้น เพราะรู้สึกเชื่อมโยงกับเค้าเพราะเราเคยเจอประสบการณ์คล้ายกัน เราเข้าใจอารมณ์ความรู้สึกเขา แต่เราอาจจะไม่เข้าใจสถานการณ์ สาเหตุ รากของปัญหาต่างๆ ของเค้าเลยก็ได้เป็นการเข้าอกเข้าใจด้วยหัวใจ
- Cognitive Empathy หรือ Empathy with reasoning
คือ การที่เราฟัง รับรู้เรื่องราวของคนอื่น แล้วคิดวิเคราะห์ เชื่อมโยง ทำความเข้าใจว่าเพราะอะไร ทำไมเขาถึงเศร้า เขาอยู่ในสถานการณ์แบบไหน จากมุมมองของคนคนนั้น ทำให้เราไม่ด่วนตัดสิน เข้าใจมุมมอง สถานการณ์ที่เขาพบเจอ เป็นการเข้าอกเข้าใจโดยใช้สมอง วิเคราะห์ เชื่อมโยงร่วมกันด้วย
- Compassionate Empathy หรือ Empathy with action
มากกว่าการร่วมรู้สึกหรือเข้าใจคนคนนั้น แต่เป็นการที่เราเข้าใจเขามากจนอยากจะลงมือทำเพื่อช่วยให้เขาพ้นจากปัญหา
สำหรับคนที่อยากสร้างการเปลี่ยนแปลง การที่เราเข้าใจปัญหา ริเริ่มลงมือทำอะไรบางอย่าง โดยเริ่มจากสิ่งที่ตัวเองสามารถทำได้ และมีเป้าหมายช่วยให้เขาพ้นจากปัญหา ไม่ใช่แค่ตอนที่เราช่วย แต่มองไกลถึงการที่เขาสามารถแก้ไขปัญหาเองได้และยั่งยืนด้วย
การพัฒนาและฝึกฝนทักษะ Empathy
เริ่มต้นจากการเข้าอกเข้าใจตนเอง หรือ Self-Empathy ช่วยให้เราสามารถเข้าใจและเชื่อมโยงกับผู้อื่นได้
“ความเข้าใจและยอมรับ” อารมณ์ความรู้สึกที่เกิดขึ้นของตนเอง โดยไม่ตัดสิน ไม่ว่าความรู้สึกนั้นดีหรือแย่ อย่าเพิ่งรีบปัดตก อย่าเพิ่งรีบเรียนรู้ อย่ารีบปล่อยผ่าน หากเราสามารถเข้าใจที่มาที่ไป ความต้องการที่อยู่เบื้องหลังความรู้สึกนั้นจะยิ่งช่วยให้เราเข้าใจตนเองแล้วขยายขอบเขตไปเข้าใจคนอื่นได้ด้วย
Indy Young เขียนในหนังสือ Pratical Empathy ว่า คนที่มักได้ฟีดแบคที่ดีเวลาเขาพูดหรือเล่าเรื่องตัวเองมักพบกับความยากลำบากเวลาที่ต้องเรียนรู้ หรือทำความเข้าใจเรื่องของคนอื่น (เพราะพูดแต่เรื่องของตัวเองจนชิน) ส่วนคนที่ถนัดแก้ไขปัญหาให้คนอื่น เช่น หมอ มักพบกับความยากลำบากเวลาต้องฟังรายละเอียดที่คนอื่นเล่า แล้วปิดโหมดวิเคราะห์ วินิจฉัยอัตโนมัติ
ดังนั้นการฝึกฝนทักษะ Empathy เริ่มจากการมี Empathetic Mindset คือ ความอยากเข้าอกเข้าใจคนอื่น เปิดโหมดสงสัยใคร่รู้(แทนโหมดอัตโนมัติทั้งหลายที่เรามีติดตัว) และการรับฟังอย่างมี “สติ” จะช่วยให้เราหลุดออกจากความคุ้นชินเดิม ๆ ที่มักฟังแล้วตัดสิน ฟังแล้วหาทางออก ฟังแล้วพูดถามแทรก ฟังแล้วเสนอความคิดเห็น ฟังเพื่อหาคำตอบที่ตัวเองอยากได้ยิน เปลี่ยนเป็นการฟังเพื่อจะเข้าอกเข้าใจคนตรงหน้าจริง ๆ
Emotional Empathy สามารถพัฒนาได้หลายวิธี เช่น การไปสถานที่จริง สังเกตวิถีชีวิตผู้คนตามที่ต่าง ๆ ลองใช้ชีวิตแบบเขาดู เช่น ลองนั่งรถเข็นวีลแชร์ ลองกินอาหารท้องถิ่น คุยกับคนแปลกหน้า การรับฟังอย่างไม่ตัดสิน การใช้สื่อเช่น หนัง เพลง หนังสือ ก็ช่วยให้เราพัฒนาทักษะนี้ได้
Cognitive Empathy มีงานวิจัยบอกว่า 70% ของ ทักษะ Empathy คือ Cognitive Empathy ที่สามารถพัฒนา หรือสอนได้ เช่น ใช้สื่อ บอร์ดเกม ละคร (Role Play) จำลองสถานการณ์ หรือกระบวนการที่พาให้เรามีข้อมูล ประสบการณ์ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนั้น ๆ มากพอที่จะเข้าใจผู้อื่น ชวนสะท้อน สังเกต คิดวิเคราะห์เพื่อทำความเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างลึกซึ้ง
Compassionate Empathy เช่น การทำงานจิตอาสาในชุมชน การทำโครงการเพื่อสังคม หรือการลงมือช่วยเหลือคนคนนั้นตามสมควรโดยพยายามเข้าใจปัญหา สถานการณ์ รากของปัญหา สาเหตุ และผลกระทบรอบด้านทั้งด้านบวกและลบ เป็นต้น
สำหรับ Insights for Change เราให้ความสำคัญกับกระบวนการ Empathize มากที่สุดในกระบวนการสร้างนวัตกรรมสังคม เลือกใช้โปรเจกต์เพื่อสังคมเป็นเครื่องมือเพื่อฝึกฝนทักษะ Empathy ทั้ง 3 ระดับ ผ่านกระบวนการทำความเข้าใจปัญหาเชิงลึก (Insight) เปิดโอกาสให้คนตั้งคำถาม และลงไปทำความเข้าใจคนที่เกี่ยวข้อง เปิดใจรับฟังอย่างไม่ตัดสินเพื่อเข้าอกเข้าใจผู้อื่นแทนที่จะตรวจสอบสมมติฐาน หรือไอเดียของตนเอง นำมาคิดวิเคราะห์ เชื่อมโยงจนเข้าใจปัญหาจากมุมมองของคนนั้น เห็น Pattern โครงสร้างหรือกฏหมาย และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้อง เกิดความเข้าใจและมุมมองใหม่เกี่ยวกับเรื่องนั้น เป็นการมองปัญหาเดิม ในมุมใหม่ที่แตกต่างออกไป นำไปสู่การลงมือ ริเริ่มคิดหาวิธีการแก้ไขปัญหา ที่เข้าอกเข้าใจคนจริงๆ
อีกด้านของ Empathy
อาจารย์ Hyun Shin จาก Hanyang University และ Impact Research Lab, T&C Foundation ได้ชวนคิดใน Session หนึ่งของ Ashoka U Exchange ปี 2020 ไว้อย่างน่าสนใจ คือ
- Empathy Risk เวลาที่เรารู้สึกเข้าอกเข้าใจ Empathized บางอย่างมากๆ เหมือนเราฉายสปอตไลท์ไปที่สิ่งนั้น เรื่องนั้น จนมีคนหรือแง่มุมที่เรามองไม่เห็น เสี่ยงละเลยต่อกลุ่มคนอื่นๆ เรื่องอื่นๆ ที่เราก็ควรเข้าใจเขาด้วยเหมือนกัน
- Unbalanced Empathy / Bias Empathy
– เวลาที่เราเข้าอกเข้าใจ อินกับเรื่องราว ทำให้เราเผลอสร้าง “คนวงใน” (Inner Circle) และเกิดคนวงนอก (Outsider) ขึ้นมา ทำให้เรากีดกันคนอื่นโดยไม่รู้ตัว หรือไปโจมตีฝ่ายตรงข้ามที่ไม่ใช่พวกเรา เช่น เราชอบสุนัขมาก แล้วเข้าอกเข้าใจคนรักสุนัขด้วยกัน เห็นอกเห็นใจสุนัข เรามักให้ข้าวสุนัขจรจัดแถวบ้าน จนเราลืมว่า สุนัขจรจัดอาจไปทำความเดือดร้อน เช่น ไปอึหน้าบ้านคนอื่น กัดคน แล้วเราไปด่าคนเหล่านั้นว่าไม่รักสัตว์ ซึ่งควรแยกประเด็นกันให้ชัดเจน
– การที่ความเข้าอกเข้าใจของเราไม่สมดุล หรือมีอคติ ทำให้เราเผลอไป Bully แบ่งแยก หรือ สร้าง ความเกลียดชังโดยไม่รู้ตัว เช่น การแบ่งแยกศาสนา ว่าคนนับถือศาสนานี้คือพวกของฉัน ศาสนาอื่นไม่ใช่ จนกลายเป็นสงคราม ความรุนแรงเกิดขึ้นในสังคม
จะเห็นว่า Empathy เป็น “ทักษะ” สำคัญมากในยุคปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นคนธรรมดาที่อยู่ร่วมกันในสังคมที่มีความแตกต่าง หลากหลาย การมี Empathy ช่วยให้เราเป็นสมาชิกครอบครัวที่ดีขึ้น เป็นแฟนที่ดีขึ้น เป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีขึ้น เป็นเจ้านายที่ดีขึ้น เป็นผู้นำที่ดีขึ้น ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในสภาพสังคมเมืองที่ขยายตัว ธรรมชาติถูกนำมารับใช้มนุษย์ส่งผลให้สิ่งแวดล้อมถูกทำลายไปถึงจุดที่ไม่อาจหวนกลับคืน เศรษฐกิจและการแข่งขันแบบทุนนิยมที่เน้นการบริโภค ความเจริญของเทคโนโลยีที่ก้าวไปอย่างรวดเร็ว แม้จะทำให้ชีวิตเราสะดวกสบาย แต่ก็สร้างปัญหาตามมาไม่น้อย
บทความตอนหน้า Insights for Change จะพาไปลงลึกเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะ Empathy ต่อไปนะคะ สามารถติดตามอัพเดทบทความต่างๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/insights4change/
References
- Brené Brown on Empathy : https://youtu.be/1Evwgu369Jw
- Connect with Empathy, But Lead with Compassion. Connect with Empathy, But Lead with Compassion. https://hbr.org/2021/12/connect-with-empathy-but-lead-with-compassion
- Practical Empathy