เมื่อปลายปี 2566 ที่ผ่านมา Insights for Change (IN4C) ได้มีส่วนร่วมออกแบบ จัดกระบวนการภายใต้หัวข้อ “Leading with Empathy : Creating a Culture of Understanding” ในงาน Fashion Powerhouse จัดขึ้นโดยคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนซอฟต์พาวเวอร์ด้านอุตสาหกรรมแฟชั่น วัตถุประสงค์หลักของงานนี้ คือ เพิ่มศักยภาพการแข่งขัน การปรับตัว ต่อยอดธุรกิจตามแนวคิดเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ยกระดับแฟชั่นไทยให้สามารถแข่งขันด้านคุณค่า คุณภาพ และเกิดความยั่งยืน โดยมีผู้เข้าร่วม ได้แก่ ดีไซเนอร์จากไมโคร/บูทีคแบรนด์ แบรนด์ที่อยู่มานาน/มีชื่อเสียง และผู้ผลิตในอุตสาหกรรมมารวมกัน
จากประสบการณ์การทำงานของ IN4C พบว่า คนทำงานในแวดวงเดียวกันมักไม่ค่อยมีโอกาสพูดคุย รับฟังและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างลึกซึ้ง งานนี้เราจึงออกแบบกระบวนการโดยใช้หลักการ Design Thinking ชวนผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแต่ละฝ่ายเปิดพื้นที่แห่งการรับฟัง แบ่งปันเรื่องราวข้อมูลเชิงลึก (Insights) ของตนเองจากมุมมองหลากหลาย ทั้งมุมส่วนตัว ลูกจ้าง เจ้าของกิจการ หรือคนในอุตสาหกรรมแฟชั่น และใช้เครื่องมือ Systems Thinking สร้างความเข้าใจร่วม ให้เห็นความซับซ้อนของบริบท ปัจจัยที่เกี่ยวข้องช่วยให้ทุกคนเริ่มต้น “เห็นภาพ” และเข้าใจสถานการณ์ตรงกันก่อนเริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลง ขับเคลื่อนนโยบาย หรือให้การสนับสนุนจากภาครัฐ เพราะหลายครั้งการใช้วิธีที่มองจากมุมคนนอก บนลงล่าง (Top-down) หรือ one-size-fits -all solution ส่งผลให้เราลงทุนมาก เห็นผลน้อย เน้นการวัดผลเชิงปริมาณมากกว่าคุณภาพ ที่เห็นบ่อย ๆ เช่น จัดอบรมโดยนับจำนวนคนเข้าร่วม ทำแบบสอบถามหลังจบแล้วคิดว่างานนี้สำเร็จบรรลุเป้าหมายแล้ว ทั้งที่อาจจะไม่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่อยากเห็นใด ๆ เลย
ในกระบวนการทำความเข้าอกเข้าใจนี้ (Empathizing) ช่วยให้เราเข้าใจผู้ประกอบการและดีไซเนอร์มากขึ้น (ในฐานะคนนอก) และให้เขาเข้าใจตนเองและเพื่อนร่วมอุตสาหกรรมมากขึ้น ยกตัวอย่าง Insights จากกระบวนการ เช่น
ไมโคร/บูทีคแบรนด์ น้องใหม่ไฟแรงกับการค้นหาตัวตนเพื่อเอาตัวรอดในธุรกิจ

ไมโคร/บูทีคแบรนด์ ส่วนใหญ่เป็นแบรนด์ใหม่ขนาดเล็ก เจ้าของทำทุกอย่างเองคนเดียว บางคนไม่มีพื้นฐานด้านแฟชั่น ออกแบบ หรือการตัดเย็บมาก่อน ประสบการณ์น้อย ยังไม่ค่อยมั่นใจว่ามาถูกทางไหม ธุรกิจจึงอยู่ในช่วงค้นหาตัวเอง ยังไม่เจอสินค้าที่เป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ ยังไม่มีลูกค้าประจำ การออกแบบจึงเป็นการทดสอบกลุ่มลูกค้า ผลิตในปริมาณน้อยเน้นความหลากหลายและความรวดเร็วในการออกคอลเลคชั่นใหม่ ด้วยเหตุนี้ทำให้หาโรงงานรับผลิตยาก (ส่วนใหญ่โรงงานมีขั้นต่ำในการผลิตหลักร้อยถึงพันตัว) หาช่างฝีมือตอบโจทย์ด้านดีไซน์ที่หลากหลายได้ยาก การสื่อสารระหว่างเจ้าของ ดีไซเนอร์ และช่างหรือโรงงาน ยังมีช่องว่างของความเข้าใจ ส่งผลให้เกิดความล่าช้าในการผลิต
ความท้าทายในอุตสาหกรรมของกลุ่มนี้ คือ ผู้ประกอบการเน้นความอยู่รอดในธุรกิจ (product-market fit) ยังไม่ได้มองไปถึงเรื่องความยั่งยืนในมิติของสังคมและสิ่งแวดล้อม
แบรนด์ที่อยู่มานาน/มีชื่อเสียง – พี่ใหญ่แห่งวงการ แต่จะต้านทานต้นทุนสูงขึ้นและแบรนด์นอกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย

แม้จะอยู่มานาน มีฐานลูกค้าของตนเองแล้ว แต่แบรนด์เหล่านี้มีอุปสรรคและความท้าทาย เช่น ต้นทุนสูงขึ้นสวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภคส่งผลให้แบรนด์ระดับกลาง (ไม่ใช่ High-End) ต้องลงมาเล่นเรื่องราคาด้วย เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ยังคงดูที่ราคา มากกว่ามองคุณภาพ คุณค่าที่แบรนด์ส่งมอบ นวัตกรรม ความยั่งยืนด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นต้นทุนเพิ่มของผู้ผลิตที่ผู้บริโภคมองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นสวัสดิการให้กับแรงงานที่เกี่ยวข้อง การเลือกใช้วัตถุดิบที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมมีราคาสูงกว่าทั่วไป ความท้าทายในระดับอุตสาหกรรม คือ ผู้ผลิตจีนสามารถตอบสนองความต้องการของดีไซเนอร์กลุ่มนี้ได้ดี ทั้งการรับออเดอร์ในปริมาณน้อย ทำงานได้ไวในราคาถูก มีคนช่วยดูแลประสานงานตามงานอย่างต่อเนื่อง ช่วยทุ่นแรงผู้ประกอบการได้มาก แม้แบรนด์เหล่านี้จะมองเห็นข้อดีของการผลิตในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นระยะทางใกล้กว่า ความเข้าใจในการสื่อสาร แบรนด์เห็นตรงกันว่าสามารถจ่ายราคาที่สูงกว่าจ้างผู้ผลิตในประเทศได้ แต่อยากเห็น “ความแตกต่าง” ว่าสามารถส่งมอบคุณค่าดีกว่าอย่างไร นอกจากนี้ยังมีคู่แข่งสำคัญของแบรนด์กลุ่มนี้ คือ แบรนด์ต่างชาติเข้ามาขายในประเทศเป็นที่รู้จักของลูกค้าและขายราคาถูก ทุกคนเห็นภาพร่วมกันว่าอยากเห็นคนให้คุณค่ากับแบรนด์ที่ “เมด อิน ไทยแลนด์” ช่วยกันยกระดับความเป็นสากลทำให้ผู้บริโภคยอมจ่ายเงินซื้อสินค้ามากขึ้น
อุตสาหกรรมผู้ผลิต OEM – มือปืนรับจ้างที่อยากให้คนหันมามองเห็นบ้าง ว่าเป็นเดอะแบกขับเคลื่อนอุตสาหกรรม

เป็นกลุ่มรับจ้างผลิตเน้นปริมาณ ไม่มีสินค้าหรือแบรนด์ของตัวเอง มีเครื่องจักร โรงงาน จ้างคนงานหลักสิบไปจนถึงหลักพันคนจึงแบกรับต้นทุนคงที่ที่สูงมาก สวนทางกับภาพรวมตลาดที่เล็กลง มีความเจาะจงมากขึ้น เมื่อไม่มีจุดเด่นของตัวเอง มีงานอะไรเข้ามาจำเป็นต้องรับไว้ก่อน เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนในธุรกิจ คนงานมีงานทำ รับงานด้วยจำนวนขั้นต่ำน้อยลง แพทเทิร์นหลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้มีขั้นตอนจุกจิกมากกว่าเดิม เหนื่อยมากขึ้นแต่ได้เงินน้อยลง ประเด็นสำคัญของกลุ่มนี้คือ การขาดความเข้าใจระหว่างลูกค้า (แบรนด์และดีไซเนอร์) และผู้ผลิต เช่น การขึ้นต้นแบบมีต้นทุนสูงและใช้ความชำนาญ เมื่อขึ้นต้นแบบให้แล้วโรงงานมีความคาดหวังว่าจะมีออเดอร์อย่างต่อเนื่อง แต่ลูกค้าไปจ้างผู้ผลิตรายอื่นที่ถูกกว่า หรือบางครั้งลูกค้าต้องการงานมีคุณภาพ แต่ให้เวลาน้อยและกดราคา ขณะเดียวกันโรงงานมองว่าแบรนด์สามารถบวกราคาขายได้สูงหลักร้อยถึงพัน แต่โรงงานกลับโดนกดราคาได้กำไรต่อชิ้นต่ำมาก หากทั้งสองฝ่ายมีความเข้าใจร่วมกันเรื่องการทำงาน ความคาดหวัง โครงสร้างต้นทุน ในแบบพันธมิตร น่าจะช่วยให้ทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น ทั้งนี้การสร้างความร่วมมือในระหว่างกันในอดีตมักไม่ค่อยสำเร็จ จำเป็นต้องมีคนกลางเข้ามาช่วยเหลือ ออกแบบกระบวนการ สร้างพื้นที่ปลอดภัยในชุมชน เครือข่ายให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกัน
ความท้าทายในระดับอุตสาหกรรม คือ การพัฒนาทักษะคนทำงานให้สามารถรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น เช่น คุณภาพงาน การผลิตที่มีความยืนหยุ่น เพื่อสู้กับค่าแรงในประเทศเพื่อนบ้านมีราคาถูก ลดเสี่ยงย้ายฐานการผลิต
จะเห็นว่ามีปัจจัยเกี่ยวข้องกับความยั่งยืนของอุตสาหกรรมมากมาย การมองเชิงระบบด้วยเครื่องมือ Causal Loop Diagram (CLD) ทำให้เราเห็นว่า ปัจจัยไหน จุดไหนน่าจะเป็นจุดคานงัด (Laverage Point) หรือจุดที่เราออกแรงทำน้อยแต่ได้ผลมาก เพื่อยกระดับอุตสาหกรรมแฟชั่นไทยให้สามารถแข่งขันด้านคุณค่า คุณภาพ และยั่งยืนได้

จุดคานงัดจาก CLD ด้านบน แบ่งออกเป็นปัจจัยภายใน (วงกลมสีน้ำเงิน) และปัจจัยภายนอก (วงกลมสีแดง) ที่ส่งผลต่อความยั่งยื่น โดยสังเกตจากจุดที่มีลูกศรเข้าออกจำนวนมากและจากข้อมูลที่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียร่วมกันโหวตระหว่างกระบวนการ ว่าเป็นประเด็นสำคัญ
ปัจจัยภายในที่ส่งเสริมความยั่งยืน ได้แก่
1.การพัฒนาคุณภาพคน สร้าง Personal Mastery (ไม่ว่าจะเป็นบ้านเย็บหรือพนักงานในโรงงาน) ที่สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็ว นำไปสู่การผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ จัดส่งได้รวดเร็ว ตามเวลา ทักษะ soft skills ที่สำคัญ เช่น การฟัง การสื่อสาร เพื่อเข้าอกเข้าใจ รับฟังความต้องการของลูกค้าและผู้เกี่ยวข้องนำไปสู่การทำงานร่วมกันได้ราบรื่น และพัฒนาทักษะเฉพาะทาง (hard skills) เพื่อรับมือกับการผลิตที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ความหลากหลายของแบรนด์ ดีไซน์ วัสดุและเทคโนโลยีใหม่ได้
2. ส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเจ้าของแบรนด์ ไม่ว่าจะเป็นความคิดสร้างสรรค์ การมีวิสัยทัศน์ชัดเจน การรักษาไฟในการทำงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อรักษาแบรนด์ให้เข้มแข็ง สร้างความภักดีของลูกค้าต่อแบรนด์ในระยะยาว
3. พัฒนาขีดความสามารถในการยืดหยุ่น (Resilience) ของธุรกิจ ทั้งการปรับมุมมองของผู้ประกอบการให้สอดรับกับสภาวะตลาดที่เป็นจริง (ไม่ยึดติดกับออเดอร์ล็อตใหญ่ จำนวนมากอีกต่อไป) และการปรับในเชิงเทคโนโลยีและนวัตกรรม เช่น การลดปริมาณขั้นต่ำในการผลิต การลดต้นทุนคงที่
ปัจจัยภายนอกที่ส่งเสริมความยั่งยืน ได้แก่
1. การสร้างนิเวศในการทำงานและสร้างเครือข่ายความร่วมมือบนความเข้าใจระหว่างกันถึงความท้าทาย ข้อจำกัด ธรรมชาติของธุรกิจ-อุตสาหกรรม เช่น
– การเข้าถึงข้อมูลจำเป็น เช่น ข้อมูลผู้ผลิต ความถนัด สินค้า จำนวนขั้นต่ำ เป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดการทำงานร่วมกัน เพราะรู้ว่าใคร ทำอะไร เก่งอะไร
– การเชื่อมโยงความต้องการระหว่างแบรนด์/ผู้ผลิต รวมยอดการสั่งให้เกิด economy of scale
– เชื่อมโยงความรู้จากเครือข่ายและภายนอก ทำให้เข้าถึงแหล่งความรู้ต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างชุมชนที่สามารถแบ่งปันความรู้ประสบการณ์ระหว่างกัน มองเป็นคู่ค้ามากกว่าคู่แข็ง (ปรับ Mental Model ในการทำงานร่วมกัน) เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน สู้กับคู่แข่งต่างประเทศ
2. การสนับสนุนจากภาครัฐที่ช่วยให้ดีไซเนอร์และผู้ผลิตเข้าถึงเทคโนโลยีและนวัตกรรมในราคาที่จับต้องได้ ช่วยเพิ่มความสามารถในการยืดหยุ่น (Resilience)
3. ทำงานที่ระดับ Mental model สร้างการตระหนักรู้ให้ผู้บริโภคเห็นคุณค่าแบรนด์ไทย
ปัจจัยภายในและภายนอก เมื่อมองเชิงระบบ

จากกระบวนการ Insights for Strategy and Sustainability ข้อมูลและปัจจัยเหล่านี้เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการทำความเข้าใจความซับซ้อนของสิ่งที่เราอยากสร้างการเปลี่ยนแปลง โดยเริ่มจากการทำความเข้าใจ “คน” ที่เกี่ยวข้องจากหลากหลายมุมมอง และเข้าใจภาพรวมเชิงระบบไปพร้อมกัน สิ่งสำคัญคือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกคนที่เกี่ยวข้องเห็นภาพร่วมกัน (Shared Vision) ว่า เรากำลังจะทำอะไร เพื่ออะไร ไปสู่อะไร การเปลี่ยนแปลงที่อยากเห็นคืออะไร หลังจากนี้จำเป็นต้องศึกษาข้อมูลเชิงลึก (Insights) เพิ่มเติมเพื่อออกแบบแนวทางสนับสนุน นโยบายต่าง ๆ พิจารณาถึงทรัพยากรและเวลาที่มีว่าเราควรเริ่มขยับฟันเฟืองจากจุดไหนก่อน วางแผนกลยุทธ์ระยะต่าง ๆ นำไปสู่การความยั่งยืนที่เราอยากเห็นในที่สุด
Insights for Change : ให้คำปรึกษาโครงการหรือองค์กรไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเพื่อสังคม รัฐ เอกชน ที่มีเป้าหมายอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมกับสร้างความยั่งยืนขององค์กร (Sustainability) ออกแบบกระบวนการเพื่อค้นหาและเลือกข้อมูลเชิงลึกที่เหมาะสมเพื่อทำแผนกลยุทธ์ หรือต้นแบบโมเดลในการสร้างการเปลี่ยนแปลง
“Insights for Strategy & Sustainability”